MAKRO จ่ายปันผลรอบสอง 0.32 บาท/หุ้น ควบกิจการโลตัส ดันกำไรพุ่งทะลุ 100%

MAKRO ชงผู้ถือหุ้นอนุมัติควักอีกกว่า 3 พันล้านบาท จ่ายปันผลปี’64 รอบ 2 อีก 0.32 บาทต่อหุ้น โชว์กำไรพุ่งกว่า 100% จากการควบรวมกิจการกับ “โลตัส”

วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2564 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท สยามแม็คโคร จำกัด (มหาชน) หรือ MAKRO ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมาว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทได้มีมติให้เสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 เพื่อพิจารณาอนุมัติการจ่ายเงินปันผล สำหรับผลการดำเนินงานปี 2564 ในอัตรา 0.72 บาทต่อหุ้น รวมเป็นเงินปันผลที่ต้องจ่ายทั้งสิ้น 5,306 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินรวม

เมื่อหักการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในอัตรา 0.40 บาทต่อหุ้นที่ได้จ่ายไปแล้วเมื่อวันที่ 8 กันยายน 2564 คงเหลือเป็นเงินปันผลที่จะจ่ายอีกในอัตรา 0.32 บาทต่อหุ้น รวม 10,580,323,500 หุ้น คิดเป็นเงินจำนวน 3,386 ล้านบาท

โดยจะจ่ายให้แก่ผู้ถือหุ้นที่มีรายชื่อตามที่ปรากฏ ณ วันกำหนดสิทธิผู้ถือหุ้นในการรับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 4 มีนาคม 2565 และกำหนดจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในวันที่ 19 พฤษภาคม 2565

ทั้งนี้ สิทธิในการรับเงินปันผลดังกล่าวของบริษัทยังมีความไม่แน่นอนจนกว่าจะได้รับการอนุมัติจากที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2564 บริษัทมีเงินสำรองตามกฎหมายจำนวน 240,000,000 บาท ขณะที่มีทุนจดทะเบียนจำนวน 5,586,161,750 บาท ภายหลังการเพิ่มทุน

ดังนั้น บริษัทจึงจำเป็นต้องจัดสรรเงินสำรองตามกฎหมายเพิ่มเติมอีก 318,616,175 บาท เพื่อให้ครบร้อยละ 10 ของทุนจดทะเบียนรวมเป็นเงินสำรองตามกฎหมายทั้งสิ้น 558,616,175 บาท

ทั้งนี้ บอร์ดมีมติกำหนดวันประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2565 ในวันพุธที่ 20 เมษายน 2565 เวลา 14.00 น. โดยจัดประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ (e-Meeing) โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิเช้าร่วมประชุมสามัญผู้ถือหุ้นและออกเสียงลงคะแนน (Record Date) ในวันที่ 4 มีนาคม 2565

สำหรับผลประกอบการในปี 2564 MAKRO และบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิจำนวน 13,687 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนจำนวน 7,124 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 108.6 เป็นผลจากกำไรสุทธิของกลุ่มธุรกิจค้าส่งจำนวน 6,7 73 ล้านบาท ซึ่งเติบโตขึ้นร้อยละ 3.2 เมื่อเทียบกับปีก่อน กำไรสุทธิจากกลุ่มธุรกิจค้าปลีกจำนวน 397 ล้านบาท และผลจากการรวมกิจการกับโลตัส ซึ่งทำให้เกิดกำไรทางบัญชีจากการรวมธุรกิจแบบขั้นจำนวน 6,714 ล้านบาท หรือคิดเป็น 2.38 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 74.0 เมื่อเทียบกับปีก่อน

อนึ่ง ในไตรมาส 4 ปี 2564 บริษัทและบริษัทย่อยมีรายได้รวมทั้งสิ้น 100,411 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 75.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน และมีต้นทุนการเช่าและการให้บริการ ต้นทุนในการจัดจำหน่าย และค่าใช้จ่ายในการบริหารรวมจำนวน 13,917 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 206.9 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

ทั้งนี้ เมื่อหักต้นทุนทางการเงิน ค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้ และส่วนแบ่งกำไรส่วนที่เป็นของส่วนได้ส่วนเสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม ทำให้บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรสุทธิเท่ากับ 9.094 ล้านบาท หรือคิดเป็น 1.58 บาทต่อหุ้น เพิ่มขึ้นร้อยละ 327.0 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

อ้างอิง
https://www.prachachat.net/finance