BCPG โชว์กำไรปี 64 กว่า 2 พันล้าน ลุยขายหุ้นโรงไฟฟ้าอินโดฯ 1.45 หมื่นล้าน

บีซีพีจี ปี 64 กำไรโต 5.2% อยู่ที่ 2,011 ลบ.รับโรงไฟฟ้าหนุนหลายโครงการ ปันผล 0.17 บ./หุ้น ขึ้น XD 3 มี.ค.นี้ พร้อมขายหุ้นโรงไฟฟ้าความร้อนในอินโดฯ รับเงิน 1.45 หมื่นลบ. พร้อมเตรียมลงทุนพลังงานหมุนเวียนในสปป.ลาว 100 ล้านดอลล์

นายนิวัติ ดิเรก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บีซีพีจี จำกัด (มหาชน) หรือ BCPG แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่าคณะกรรมการได้มีมติอนุมัติการขายหุ้นใน Star Energy Group Holdings Pte. Ltd. (SEGHPL) สัดส่วน 33.33% ให้แก่ Springhead Holdings Pte Ltd. หรือบริษัทย่อยของ Springhead Holdings Pte Ltd. ในราคา 440.0 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือเทียบเท่า 14,566.9 ล้านบาท

โดย SEGHPL เป็นบริษัทที่ลงทุนในบริษัทย่อย Star EnergyGeothermal Pte. Ltd. (SEG) ดำเนินธุรกิจโรงไฟฟ้า Wayang Windu ในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งการขายครั้งนี้ ทำให้บริษัทได้รับเงินทุนที่เพียงพอสำหรับการดำเนินการและรองรับสำหรับการลงทุนในอนาคตของบริษัทฯ

นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ลงนามบันทึกข้อตกลงกับ Capital Asia Investment Pte. Ltd. (CAI) และกระทรวงการเงินสปป.ลาว เพื่อร่วมลงทุน- ให้คำปรึกษาในธุรกิจพลังงานหมุนเวียนในสปป.ลาว โดยมีวงเงินลงทุนส่วนของบริษัทไม่เกิน 100 ล้านดอลลาร์ ซึ่งขณะนี้อยู่ในขั้นตอนเจรจาข้อกำหนดและเงื่อนไขสัญญา

ทั้งนี้ BCPG ได้ประกาศ ผลประกอบการปี 64 มีกำไร 2,010.82 ล้านบาท หรือ 0.74 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้น 5.2% จากงวดเดียวกันปี 63 ที่มีกำไร 1,912.25 ล้านบาท หรือ 0.92 บาท/หุ้น

ปี 64 บริษัทฯ มีกำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 2,284.3 ล้านบาท เติบโต 16.6% จากปี 63 เนื่องจากการรับรู้ผลการดำเนินงานเต็มปีจากโครงการใหม่ ได้แก่ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ ใน สปป. ลาว คือ “Nam San 3B” และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยใหม่ 20 เมกะวัตต์ จำนวน 4 โครงการ

รวมถึงการรับรู้ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังน้ำ “Nam San 3A” และ “Nam San 3B” เพิ่มขึ้น การรับรู้ผลการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น จากการเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ของโครงการ ชิบะ 1 (20 เมกะวัตต์) และ รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนของโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนใต้พิภพประเทศอินโดนีเซียเพิ่มขึ้น จากอัตราค่าไฟเพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายทางการเงินลดลง

ทั้งนี้หากแยกเฉพาะไตรมาส 4/64 บริษัทมีกำไร 237.7 ล้านบาท ลดลง 23.5% เทียบกับช่วงเดียวกันปี 63 แต่กำไรจากการดำเนินงานปกติที่ 582.6 ล้านบาท เติบโต 8.7% โดยเป็นผลจากการรับรู้รายได้โรงฟ้าต่างๆ เช่นเดียวกับที่กล่าวข้างต้น มีรายได้รวมอยู่ที่ 1,232 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.4% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันปีก่อน ที่มีรายได้รวมเท่ากับ 1,137 ล้านบาท

“สำหรับในภาพรวมของปี 64 บริษัทฯ ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง และสามารถดำเนินงานตามแผนที่วางไว้ โดยในไตรมาส 4/64 โครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ชิบะ ในประเทศญี่ปุ่น กำลังการผลิต 20 เมกะวัตต์ และโครงการพลังงานแสงอาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ กำลังการผลิต 7.7 เมกะวัตต์ ได้เปิดขายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ได้ตามกำหนด และรับรู้รายได้ในไตรมาสที่ 4/64 รวมทั้งบริษัทฯ ยังรับรู้รายได้จากการดำเนินงานของโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทยที่เพิ่มขึ้น จากการปรับปรุงประสิทธิภาพแผงโซลาร์” นายนิวัติกล่าว

นอกจากนี้ คณะกรรมการมีมติ จ่ายปันผลเป็นเงินสด งวดดำเนินงานวันที่ 1 ก.ค. 64 – 31 ธ.ค. 64 จำนวน 0.17 บาท/หุ้น วันที่ไม่ได้รับสิทธิปันผล(XD) 3 มี.ค.65 วันที่จ่ายปันผล 22 เม.ย.65 โดยกำหนดการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 65 ในวันที่ 7 เม.ย.65 เวลา 13.30 น. ณ อาคารเอ็มทาวเวอร์ ถนนสุขุมวิท

อ้างอิง
https://www.bangkokbiznews.com/business